ฟิล์มกันรอย(Screen Protector)เข้ามาแพร่หลายในเมืองไทยกว่า 8 ปีแล้ว เป็นสินค้ายอดนิยมเนื่องมาจากการเติบโตของ smartphone และจอ LED touch screen ต่างๆ ซึ่งในเมืองยังไม่มีผลงานวิจัยจริงๆจังๆ เกี่ยวกับฟิล์มกันรอย ทางเวบจึงขอยกตัวอย่างงานวิจัยของไต้หวัน จากการสำรวจพบว่าในไต้หวันมีผู้ติดฟิล์มกันรอยกับหน้าจอ Smart Phone มากถึง 68% และหากเป็นผู้ซื้อ Smart Phone ใหม่จะมีแนวโน้มติดฟิล์มกันรอยถึง 82% ส่วนผู้ใช้แท๊บเล็ตมีผู้ที่ติดฟิล์มกันรอยถึง 76% และมากถึง 88% สำหรับผู้ที่ซื้อแท็บเล็ตใหม่ที่มีแนวโน้มจะติดฟิล์ม ไม่รวมถึงอุปกรณืจำเป็นอื่นๆ เช่น Notebook จอ LED รถยนต์ จอ LCD, LED และจอ Plasma ต่างๆ เหตุผลที่นิยมติดฟิล์มกันรอยมากขนาดนี้ เพราะ
- ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีและ ราคาถูก
- ลดการสะท้อนแสง(แบบด้าน)
- กันคราวสกปรก, กันรอยนิ้วมือ
- คุณสมัติพิเศษต่างๆ เช่น ฟิล์มกันแบคทีเรีย(antibacterial film), กันกระแทก(Anti Shock), ถนอมสาย ตัดแสงสีน้ำเงิน(Blue Light Cut)
- อื่นๆ เช่น ฟิล์มพิมพ์ลวดลาย (Print Film), ฟิล์มประกายเพชร (Diamond Film)
ด้วยคุณสมบัติที่ดีมากมายเหล่านี้จึงทำให้การติดฟิล์มกันรอย( Screen Protector)ได้รับความนิยม
หลักเกณฑ์การเลือกติดฟิล์มกันรอยที่ดี
-
ราคา
ราคาของฟิล์มมันก็ต้องขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของแต่ละคน ใครใช้อุปกรณ์ที่ไม่แพงนักก็มักเลือกติดฟิล์มกันรอยราคาไม่แพง คนที่ใช้อุปกรณ์ราคาแพงก็ชอบติดฟิล์มกันรอยราคาแพง อันนี้แล้วแต่ชอบเลยครับแต่ทางเวบก็มีบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลวิจัยของ ไต้หวันซึ่งก็ไม่น่าต่างจากคนไทยมากนัก “ที่ไต้หวันพบว่า คนใช้ smart phone ที่ติดฟิล์มกันรอยจะมีการเปลี่ยนฟิล์มในภายในเวลา 8 เดือนมากถึง 78%” หมายความว่า หากคุณเป็นผู้ซื้อฟิล์มกันรอยไปติด สำหรับ smartphone คุณก้อจะมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนฟิล์ม ภายในระยะเวลา 8 เดือนกับเงินที่คุณสูญเสียไป ส่วนฟิล์มที่ถูกหรือแพงคุณสมบัติต่างกันอย่างไรนั้น เราจะกล่าวกันต่อไป
-
ความใส หรือค่าการผ่านแสง (Transparency)
ในบทความก่อนหน้านี้ เราได้กล่าวถึงค่าการผ่านแสงของฟิล์ม ซึ่งการผ่านแสงที่สูงก็จะทำให้การติดฟิล์มกันรอยมีราคาสูงไปด้วย – ซึ่งฟิล์มใสและใสพิเศษ รวมถึงการติดฟิล์มกันรอยที่มีคุณสมบัติพิเศษด้วย เพราะเป็นฟิล์มใสเหมือนกัน เช่น ฟิล์มกันแบคทีเรีย(antibacterial film), กันกระแทก(Anti Shock), ถนอมสาย ตัดแสงสีน้ำเงิน(Blue Light Cut) โดยทั่วๆไป มีค่าความผ่านแสงถึง 96-99% หากเราเลือกแบบกลางๆ ควรมีค่าความใสมากกว่า 98.5% – ฟิล์มแบบด้าน(Matte Film) เพื่อให้ได้ตุณสมบัติพิเศษคือ กันแสงสะท้อน (Anti-Glare) จึงมีความขุ่น(Haze) เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งการติดฟิล์มแบบด้านที่นิยมที่สุดคือ การติดฟิล์มแบบด้าน 10% หรือ Haze 10% ซึ่งการติดฟิล์มกันรอยแบบด้านนี้ ควรมีค่าความใสอยู่ที่ 80-95% แต่การติดฟิล์มแบบด้านที่ดีควรมีค่าการผ่านแสงต้องมากกว่า >92% -
ความคงทนต่อรอยขีดข่วน หรือ ค่าความแข็ง (Hardness)
ในบทความก่อนหน้านี้ ได้กล่าวถึงค่าความแข็ง(Hardness) มีหน่วยเป็น H ซึ่งค่าความแข็งของฟิล์มโดยทั่วๆไปอยู่ที่ 2-6H ซึ่งราคาจะถูกหรือแพงจะขึ้นอยู่กับค่าความแข็งยิ่งมาก ยิ่งแพง แต่ค่าแข็งที่เกินกว่า 7H จะมีความกระด้างของเนื้อฟิล์มเราจะเรียกว่า Glass Film แทนฟิล์มทั่วไปในเมืองไทยอยู่ที่ระดับ 2-6H ซึ่งราคาก็จะวิ่งต่างกันลิบลับพอสมควร เพราะ – ฟิล์มที่ระดับความแข็ง 2-5H ราคาส่งอยู่ที่ประมาณ 15-30 บาทและขายปลีกที่ 100-250 บาท – ค่าความแข็งอยู่ที่ 5-6H ราคาส่งอยู่ที่ 300-500 บาท จะเห็นว่าราคาต่างกันมากเลยทีเดียว หากท่านใดชื่นชอบความแข็งมากๆให้ไปเน้นที่ Glass ไปเลยจะดีกว่าซึ่งจะได้ความแข็งถึง 12H ในราคาไม่ต่างกันแต่ถึงแม้ว่าจะมีหน้าจอที่มีค่าความแข็งมากซักเพียงใดก็ไม่สามารถป้องกันรอยได้ 100% เพราะปัญหาใหญ่สุดของรอย คือ รอยขนแมวอันเกิดจากฝุ่น ที่จะเข้าไปแทรกทำให้เกิดรอยขนแมว เพราะฉะนั้น ค่าความแข็งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับติดฟิล์มกันรอยโดยทั่วๆไปคือ 3-5H ซึ่งจะทำให้ราคาไม่แพงจนเกินไป
-
ความหนา(Thickness)
ความหนา(Thickness) ทั่วไป 0.08-0.35 mm ซึ่งค่าความหนาที่ดีที่สุดอยู่ในช่วง 0.12-0.25 mm เนื่องจากถ้าฟิล์มบางเกินไปจะไม่สามารถกันรอยที่ตัวเครื่องได้ และถ้าหนาเกินไปจะทำให้การนำผ่านไฟฟ้าสถิตย์เพี้ยน ทำให้การ Touch Screen ไม่ค่อยดีหรือ Touch Screen เพี้ยน ค่าความหนาเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆกับการติดฟิล์มกันรอยสมัยใหม่ เช่น ฟิล์มป้องกันการมองเห็น (Privacy Film), ฟิล์มกันกระแทก(Anti Shock) และ ฟิล์มถนอมสายตา ตัดแสงสีน้ำเงิน (Blue Light Cut Film) เพราะจะมีชั้นความหนามากว่า 5 ชั้น ซึ่งถ้าควบคุมความหนาไม่ดีหรือมากจนเกินไปจะมีผลต่อการ Touchscreen ของเรา -
คุณสมบัติพิเศษของฟิล์ม
ตามความต้องการในปัจจุบันฟิล์มจะใส่ลูกเล่นมาอย่างมากมาย เช่น ด้าน (Matte), ป้องกันรอยนิ้วมือ (Anti-Fingerprint), กันการมองเห็น 4 ทาง (4D- Privacy Film), ฟิล์มกันแบคทีเรีย(anti-bacteria Film), ฟิล์มกันกระแทก(Anti Shock) และ ฟิล์มถนอมสายตาตัดแสงสีน้ำเงิน (Blue Light Cut Film) ซึ่งราคาก็จะแพงขึ้นตามคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาด้วย