ปี 2019 บริษัท Apple เปิดตัวจอเทพ Apple Pro Display XDR Retina 6 k ในราคาสูงถึง 154,000บาท แต่ยังไม่จบแค่นั้น พอวันวางจำหน่ายจริง หากคุณต้องการเทคโนโลยี สุดล้ำ Nano-Texture เพื่อ ลดแสงสะท้อน บนจอของคุณต้องเพิ่มเงินอีกถึง 35,000 บาท ทำเอาหลายคน งง? ว่า Nano-Texture คืออะไร? ทำงานอย่างไร?บทความนี้จะทำการวิเคาะห์อย่างละเอียดออกมา
ซึ่งเมื่อคุณกดสั่งซื้อใน www.Apple.co.th เมื่อซื้อจอ Pro Display XDR จะเจอ 2 ราคาแบบนี้ แล้ว Nano-Texture คืออะไร? คุ้มมัยที่จ่าย?
เทคโนโลยีลดแสงสะท้อน Anti-Glare, Anti- Reflection ต่างกันอย่างไร?
อันนี้เรื่องสำคัญมากๆ เราจำเป็นต้องรู้วิธีการแก้ปัญหา ลดแสงสะท้อน ทั่วโลกมีอยู่ 2 วิธี คือ Anti-Glare กับ Anti-Reflection ซึ่งกระบวนการแก้ปัญหาต่างกันชัดเจน แต่ภาษาไทยดันใช้เหมือนกัน คือ ” แก้ปัญหาแสงสะท้อน” และใช้งานปะปนกัน ทำให้เราไม่เข้าใจการทำงานที่ชัดเจน
Anti-Glare System
ข้อเสีย คือทำให้พื้นผิวขาดความเงาใส และ ลดค่าการผ่านแสงของกระจก
Anti-Reflection System
การทำงานของ Anti-Reflection คือการเพิ่มการผ่านแสงให้กับกระจก ทั้งสองด้าน เมื่อกระจกมีการผ่านแสงมากขึ้นทำให้ เกิดการสะท้อนที่น้อยลง
ข้อดี คือ ลดการสะท้อนได้มากถึง 10 – 70% โดยไม่สูญเสียความเงางามของกระจก และสามารถลดเงาสะท้อนได้ดีในระยะมากกว่า 2 เมตร
ข้อเสีย คือ ไม่สามารถลดปัญหาเงาที่เกิดขึ้นในระยะ 0-2 เมตร ซึ่งการแก้ปัญหาแบบนี้ไม่สามารถแก้ไขได้กับ หน้าจออุปกรณ์อิเล็คโทรนิคต่างๆ และใช้ได้ดีกับเลนส์สายตา
Nano-Texture ของ Apple Pro Display ทำงานอย่างไร
หน้าจอของ Pro Display XDR มีตัวเลือกพื้นผิวแบบด้านสุดล้ำที่ใช้กระจก Nano-texture เราจึงเลือกที่จะสลักพื้นผิวแบบ Nano-texture บนกระจกของ Pro Display XDR เรียกว่าลงลึกถึงระดับนาโนเมตร และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหน้าจอที่สามารถรักษาระดับคอนทราสต์และแสดงภาพได้อย่างสวยงาม พร้อมๆ กับทำให้เกิดการกระเจิงของแสงเพื่อลดแสงสะท้อนให้เหลือน้อยที่สุด
เพราะฉะนั้นการทำงานของ Nano-Texture ของ Apple Pro Display ใช้วิธีลดแสงสะท้อนแบบ Anti-Glare ซึ่งทาง Apple เคลมว่าใช้งานได้ดีกว่าวิธีการ Anti-Glare ทั่วๆไป เรามาดูผลการทดสอบหน้าจอแบบ Nano-Texture กัน
Parameter ที่สำคัญในการทดสอบ เพื่อใช้ในการลดแสงสะท้อน ที่สำคัญๆมี 2 ค่าคือ
1. Haze Rate – การกระจาย หรือ การกระเจิงของแสง คือ เมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุแล้ว จะมีการกระเจิงของแสงได้มากเพียงใด โดยแสดงเป็น เปอร์เซนต์ของ Haze เมื่อ haze เกินกว่า 15% จะมีผลต่อการลดค่าเงาสะท้อนด้วย แต่โดยทั่วไป Haze เยอะๆไม่ดี สำหรับจอ LED เพราะจะทำให้เกิดเม็ดสี และความสดใสของหน้าจอจะลดลง
2. Light Transmitting – ค่าการผ่านแสง อันนี้ยิ่งมากยิ่งดี เพราะภาพที่ออกมาจะสดใสเหมือนจริงที่สุด โดยทั่วไปกระจกสำหรับจอ LED ต้องมีค่าผ่านแสงขั้นต่ำอยู่ ที่ 85% แต่สำหรับจอคุณภาพสูงๆ ค่าผ่านแสงจะสูงถึง 92-98% เลยทีเดียว
การทดสอบ ลดแสงสะท้อน ตามมาตราฐาน ASTMD‐1003
Light Transmiting (%) | Haze (%) | Hardness ( 0 -9 ) | |
Normal Glass | 94 | <0.4 | 9 |
Matte Film Anti-Glare | 88 | 30 | 4 |
Apple Pro Display (Nano- Texture) | 90 | 32 | 7 |
บทสรุป
จากผลการทดสอบ การลดแสงสะท้อนแบบ Nano-Texture แทบไม่มีผลแตกต่างกับการลดแสงสะท้อนด้วย ฟิล์มลดแสงสะท้อน (Anti-Glare) เท่าไหรนัก อาจเป็นเพราะการควบคุมความเหมาะสมของ ค่า Haze ที่ไม่ควร 30% ไม่เช่นนั้นจะมีผลกระทบกับหน้าจอ ทำให้การแสดงผลเพี้ยน แต่ข้อดีจริงๆที่ พบคือ ค่า Hardness ของจอ Apple Pro Display ซึ่งสามารถทำได้สูงถึง 7H เพราะโยทั่วไปกระจกกันรอยแบบด้าน (Matte Tempered Glass) จะมีค่า Hardness สูงเพียง 4-5H เท่านั้น เนื่องจากกระบวนการผลิต
หากเรามีความต้องการเพียงลดแสงสะท้อนอย่างเดียว เราสามารถติดฟิล์มลดแสงสะท้อน ได้โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงถึง 35000 บาท กับขนาดหน้าจอเพียง 34 นิ้ว